คู่มือการตั้งชื่อ Python: อ่านง่าย บำรุงรักษาง่ายด้วย PEP 8

目次

1. PEP 8 คืออะไร

PEP 8 เป็นสไตล์ไกด์อย่างเป็นทางการเพื่อรักษาความสม่ำเสมอของโค้ด Python และเพิ่มความอ่านง่าย โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่หรือการพัฒนาแบบทีม การปฏิบัติตามกฎที่เป็นหนึ่งเดียวช่วยให้ทำความเข้าใจโค้ดได้ราบรื่นและเพิ่มความสามารถในการบำรุงรักษา

กฎหลักของ PEP 8

  • การเยื้อง:ให้ใช้ช่องว่าง 4 ตัวเป็นมาตรฐาน การใช้ช่องว่างแทนแท็บช่วยคงรูปลักษณ์ให้สอดคล้องกันในทุกโปรแกรมแก้ไข และป้องกันความสับสนภายในทีม
  • ความยาวของบรรทัด:แนะนำให้จำกัด 1 บรรทัดไม่เกิน 79 อักขระ ซึ่งช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นในตัวแก้ไข และเอื้อต่อการรีวิวโค้ดร่วมกัน
  • บรรทัดว่าง:เว้นบรรทัดว่าง 2 บรรทัดระหว่างฟังก์ชันหรือคลาสระดับบนสุด และ 1 บรรทัดระหว่างเมธอดภายในคลาส เพื่อจัดระเบียบโค้ดให้เรียบร้อยและอ่านง่าย
  • ลำดับการนำเข้า:จัดเรียงเป็น ไลบรารีมาตรฐาน, โมดูลภายนอก (third-party), และโมดูลภายในโครงการ โดยเว้นบรรทัดว่างคั่นระหว่างแต่ละกลุ่ม วิธีนี้ช่วยให้แยกความแตกต่างของโมดูลได้ชัดเจนและทำให้โค้ดเข้าใจง่ายขึ้น
  • คอมเมนต์:เขียนคอมเมนต์ให้สม่ำเสมอ กระชับ และชัดเจน เพื่อเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับเจตนาของโค้ด
การปฏิบัติตามแนวทางของ PEP 8 ช่วยให้โค้ด Python มีความสม่ำเสมอและเป็นโค้ดที่นักพัฒนาคนอื่นเข้าใจได้ง่าย

2. กฎการตั้งชื่อตัวแปร

ใน Python แนะนำให้ใช้สเนคเคส(snake_case)สำหรับชื่อตัวแปร สเนคเคสคือสไตล์ที่คั่นคำด้วยอันเดอร์สกอร์(_)และใช้ตัวพิมพ์เล็กเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ชื่อตัวแปรอ่านและจดจำได้ง่ายขึ้น และเข้าใจหน้าที่ได้ทันที ตัวอย่างที่ดีtotal_count, user_name, average_speed ตัวอย่างที่ไม่ดีtotalCount, UserName, AverageSpeed

ตั้งชื่อให้สื่อความหมาย

การตั้งชื่อตัวแปรให้บ่งบอกถึงเนื้อหาหรือหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกับตัวแปรที่เป็นแฟล็กหรือแสดงสถานะ การเติมคำนำหน้าอย่าง「is_」「has_」จะทำให้บทบาทชัดเจนยิ่งขึ้น
  • ตัวอย่างที่ดีis_active, has_data, total_amount
  • ตัวอย่างที่ไม่ดีflag, value, temp

3. กฎการตั้งชื่อฟังก์ชัน

สำหรับชื่อฟังก์ชันให้ใช้แบบ snake_case เช่นกัน และควรใช้คำกริยาเพื่อสื่อถึงหน้าที่ให้ชัดเจน การตั้งชื่อที่เริ่มด้วยคำกริยาจะทำให้บทบาทของฟังก์ชันเห็นได้ทันที ตัวอย่างที่ดีfetch_user_data, calculate_average, process_order ตัวอย่างที่ไม่ดีgetData, Calculate_Average, orderProcess

จุดสำคัญของการตั้งชื่อโดยใช้คำกริยา

ชื่อฟังก์ชันควรเริ่มด้วยคำกริยาเพื่อให้เข้าใจได้ว่า ทำอะไร เช่น ตั้งชื่อว่า calculate_total หรือ is_valid จะทำให้หน้าที่ของฟังก์ชันชัดเจน หลีกเลี่ยงชื่อที่ยาวเกินจำเป็นหรือการใช้ถ้อยคำซ้ำซ้อน ตั้งให้เรียบง่ายและเข้าใจง่าย

4. กฎการตั้งชื่อคลาส

ควรใช้คาเมลเคส(CamelCase)สำหรับชื่อคลาส คาเมลเคสเป็นสไตล์ที่ทำให้ตัวอักษรแรกของแต่ละคำเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ และไม่ใช้ขีดล่าง ช่วยให้กำหนดรูปแบบที่สม่ำเสมอให้กับชื่อคลาสได้ ตัวอย่างที่ดีUserProfile, OrderProcessor, DataManager ตัวอย่างที่ไม่ดีuser_profile, order_processor, data_manager

กำหนดบทบาทของคลาสให้ชัดเจน

เนื่องจากคลาสเป็นพิมพ์เขียวของออบเจกต์ จึงควรตั้งชื่อที่สื่อบทบาทได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น「UserManager」เป็นคลาสที่ทำหน้าที่จัดการผู้ใช้ ส่วน「FileHandler」เป็นคลาสที่ทำงานกับไฟล์ ทำให้วัตถุประสงค์ชัดเจนยิ่งขึ้น
RUNTEQ(ランテック)|超実戦型エンジニア育成スクール

5. กฎการตั้งชื่อค่าคงที่

ค่าคงที่ใช้สำหรับเก็บค่าที่ไม่เปลี่ยนแปลง และควรเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด การใช้สเนคเคสที่คั่นคำด้วยอันเดอร์สกอร์จะทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นค่าคงที่ ตัวอย่างที่ดีMAX_RETRIES, BASE_URL, TIMEOUT_LIMIT ตัวอย่างที่ไม่ดีmaxRetries, baseurl, TimeoutLimit

วิธีทำให้การจัดการค่าคงที่ง่ายขึ้น

การกำหนดค่าคงที่ที่เกี่ยวข้องไว้รวมกันในคลาสหรือไฟล์ จะช่วยให้การบำรุงรักษาง่ายขึ้น เช่น การรวบรวมค่าคงที่สำหรับการตั้งค่าของแอปพลิเคชันไว้ในคลาส Config จะช่วยให้ง่ายต่อการอ้างอิงและการจัดการ

6. หลักเกณฑ์การตั้งชื่อโมดูลและแพ็กเกจ

ชื่อของโมดูลและแพ็กเกจควรใช้คำที่สั้น เข้าใจง่าย และเป็นตัวพิมพ์เล็ก หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายขีดล่าง (underscore) และตั้งชื่อให้สื่อบทบาทภายในโปรเจกต์ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น。 ตัวอย่างที่ดีutils, data_processing, core ตัวอย่างที่ไม่ดีDataProcessing, CoreUtilsPackage, Helper_Functions เมื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การตั้งชื่อโมดูลและแพ็กเกจของ Python โปรเจกต์โดยรวมจะเป็นระเบียบ และนักพัฒนาคนอื่นก็จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น。

7. การตั้งชื่อตัวแปรและเมธอดแบบ private

ใน Python ไม่มีฟังก์ชันควบคุมการเข้าถึง แต่จะระบุตัวแปรและเมธอดแบบ private โดยใส่อันเดอร์สกอร์(_)นำหน้า สิ่งนี้สื่อว่า ‘สำหรับใช้ภายในเท่านั้น’ และถ่ายทอดจุดประสงค์นั้นให้แก่นักพัฒนาคนอื่น ตัวอย่างที่ดี_internal_method, _private_data ตัวอย่างที่ไม่ดีinternalMethod, PrivateData

เริ่มต้นด้วยอันเดอร์สกอร์คู่(__)

เมื่อใส่อันเดอร์สกอร์คู่(__)ไว้หน้าชื่อ จะเกิดการดัดแปลงชื่อ (name mangling) และช่วยหลีกเลี่ยงการชนกันของชื่อภายในคลาส วิธีนี้ช่วยป้องกันการถูกเขียนทับโดยไม่ตั้งใจในซับคลาส และมีประโยชน์อย่างยิ่งในงานออกแบบคลาสขนาดใหญ่

8. กฎการตั้งชื่อแบบพิเศษ (เมธอด dunder)

ใน Python มีเมธอดพิเศษที่เรียกว่า “เมธอด dunder (dunder methods)” โดยชื่อเมธอดจะถูกล้อมด้วยขีดล่างคู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เมธอดเหล่านี้ใช้เพื่อใช้งานพฤติกรรมและความสามารถมาตรฐานของ Python ตัวอย่าง
  • __init__: เมธอดเริ่มต้นที่ถูกเรียกเมื่อมีการสร้างอินสแตนซ์ของคลาส
  • __str__: ส่งคืนการแสดงผลแบบสตริงของออบเจ็กต์
  • __len__: ส่งคืนความยาวของออบเจ็กต์
เมธอดเหล่านี้มีจุดประสงค์เฉพาะ จึงควรใช้อย่างมีเจตนา

9. ความสำคัญของแนวทางการตั้งชื่อและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด

การยึดตามแนวทางการตั้งชื่อมีความสำคัญต่อการเพิ่มความสามารถในการอ่านและการบำรุงรักษาโค้ด รวมถึงช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการพัฒนาร่วมกันของทีม แนวทางการตั้งชื่อที่เหมาะสมไม่เพียงทำให้โค้ดเข้าใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้การแก้ไขเมื่อย้อนกลับมาอ่านภายหลังและการแก้บั๊กทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งเสริมคุณภาพโดยรวมของโครงการ

การตั้งชื่ออย่างสอดคล้องกัน

การนำแนวทางการตั้งชื่อที่สม่ำเสมอมาใช้จะช่วยให้นักพัฒนาคนอื่นเข้าใจโค้ดได้ง่ายขึ้น และทำให้การรีวิวหรือการแก้ไขดำเนินไปอย่างราบรื่น เมื่อรูปแบบการตั้งชื่อถูกทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เราจะสามารถระบุตัวแปรและฟังก์ชันตามบทบาทได้ทันที ทำให้โค้ดอ่านเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ใช้ชื่อที่สื่อความหมาย

ควรใช้ชื่อของตัวแปรและฟังก์ชันที่สื่อบทบาทและการใช้งานของมันอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น หากตั้งชื่อให้บอกบทบาทได้ในตัวเอง เช่น total_count หรือ is_valid จะช่วยให้เข้าใจได้ทันทีว่าตัวแปรหรือฟังก์ชันนั้นแทนอะไร ควรหลีกเลี่ยงชื่อที่คลุมเครืออย่างเช่น “temp” หรือ “value” และพยายามใช้ชื่อที่เฉพาะเจาะจงและเข้าใจง่าย

หลีกเลี่ยงการย่อหรือแต่งเติมที่เกินความจำเป็น

การย่อหรือเติมแต่งชื่อมากเกินไปอาจทำให้อ่านยากขึ้น ยึดตามแนวทางการตั้งชื่อของ Python และพยายามตั้งชื่อให้สั้นแต่เข้าใจง่าย จะช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่านของโค้ด

10. เครื่องมือและเคล็ดลับที่มีประโยชน์ในการทำงานจริง

เพื่อรักษากฎการตั้งชื่อให้สอดคล้องกับ PEP 8 เครื่องมือจัดรูปแบบอัตโนมัติและเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดแบบสถิตจะช่วยได้ ต่อไปนี้คือเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการทำงาน
  • Black:เป็นตัวจัดรูปแบบโค้ด Python แบบอัตโนมัติ จัดรูปแบบโค้ดให้เป็นไปตาม PEP 8 โดยอัตโนมัติ ทำให้การเยื้อง ช่องว่าง และกฎการตั้งชื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน สามารถตรวจดูความแตกต่างก่อน–หลังการจัดรูปแบบได้อย่างง่ายดาย ช่วยอย่างมากในการทำให้สไตล์เป็นหนึ่งเดียวกัน
  • Pylint:เป็นเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดแบบสถิต ช่วยตรวจสอบกฎการตั้งชื่อ การเช็กข้อผิดพลาด และชี้จุดโค้ดที่ซ้ำซ้อน เป็นต้น การใช้ Pylint ช่วยให้ตรวจพบการละเมิดสไตล์ตาม PEP 8 และบั๊กได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้คุณภาพโค้ดดีขึ้น
  • Flake8:เป็นเครื่องมือสำหรับคงรูปแบบให้เป็นไปตามสไตล์ไกด์ของโค้ด เมื่อใช้ร่วมกับ Black และ Pylint จะสามารถตรวจสอบสไตล์และกฎการตั้งชื่อได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น
ด้วยการใช้เครื่องมือเหล่านี้ นักพัฒนาทุกคนจะเขียนโค้ดตามกฎที่เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ง่ายขึ้น และการทำให้สไตล์และกฎการตั้งชื่อในทีมพัฒนาเป็นมาตรฐานเดียวกันจะถูกทำให้เป็นอัตโนมัติ
RUNTEQ(ランテック)|超実戦型エンジニア育成スクール